พุทธชยันตี 2600 ปี แห่งการตรัสรู้
ตามรอยพระพุทธเจ้า ที่อินเดีย
การเดินทางครั้งนี้เพื่อ ฉลองพุทธชยันตี 2600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เราไปนมัสการสังเวชนียสถาน 4 ตำบล ที่ อินเดีย-เนปาล 8 วัน เราไปลงเครื่องที่ กัลกัตต้า ซึ่งต้องนั่งรถโค้ชอีก 8-9 ชั่วโมงเพื่อที่จะไปพุทธคยา
ครั้นเมื่อ พระพุทธเจ้าเล่าเหตุประชุมเทวดาแล้ว พระอานนท์ก็กราบทูลถามต่อไปว่า ในกาลก่อน ภิกษุทั้งหลายที่จำพรรษาอยู่ในทิศต่างๆ เมื่อสิ้นพรรษาแล้วต่างเดินทางมาเฝ้าพระตถาคตเป็นอาจิณณวัตร ถ้าพระพุทธองค์ดับขันธปรินิพพานไปแล้ว บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลายจะไปยังที่ใด
“อานนท์ สถานที่อันเป็นเหตุให้ระลึกถึงเราก็มีอยู่คือ
1.สถานที่ที่เราประสูติแล้ว คือ ลุมพินีวันสถาน
2.สถานที่ที่เราตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ บรรลุความรู้อันประเสริฐ ทำกิเลสสิ้นไป คือ โพธิมลฑล ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
3.สถาที่ที่เราตั้งอาณาจักรแห่งธรรมขึ้นเป็นครั้งแรก คือ อิสิปตนมฤคทายวัน แขวงพาราณสี
4.สถานที่ที่เราจะนิพพาน ณ บัดนี้ คือ ป่าไม้สาละ ณ นครกุสินารา
สถานที่ทั้งสี่แห่งนี้ เป็นสังเวชนียสถาน สาราณียสถาน สำหรับให้ระลึกถึงเราและเดินตามรอยบาทแห่งเรา
ดู ก่อนอานนท์ สถานที่ทั้งสี่ตำบลนี้แล ควรที่พุทธบริษัท คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีความเชื่อ ความเลื่อมใสในตถาคตเจ้า จะดู จะเห็น และควรจะให้เกิดธรรมสังเวชทั่วกัน
ก็ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เที่ยวจาริกไปยังเจดีย์ มีจิตเลื่อมใสแล้ว ครั้นทำกาลกิริยาลงชนเหล่านั้นทั้งหมด เบื้องหน้าแต่ความตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสู่คติโลกสวรรค์”
พระมหาเจดีย์พุทธคยา ก่อสร้างด้วยหินทรายสีน้ำตาล ลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส พระหุวิชกะ ทรงสร้างต่อจากสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช และได้มีการบูรณะซ่อมแซมเรื่อยมา
วิหารมหาโพธิ์ เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปางมารวิชัย แกะสลักด้วยหิน มีอายุประมาณ 1,400 ปี องค์พระพุทธรูปทาด้วยสีทองงดงามมาก ชื่อว่า “พระพุทธเมตตา”
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เป็นสถานที่ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับนั่งตรัสรู้ ซึ่งปัจจุบันต้นโพธิ์ต้นนี้ เป็นต้นที่ 4 จากหน่อเดิม
ตรงนี้คือบริเวณโดยรอบ วิหารมหาโพธิ์ จะสังเกตว่าเป็นงานแกะสลักที่สวยงามและละเอียดมากๆ
พระแท่นวัชรอาสน์ ที่ประทับนั่งตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ในครั้งนั้น พระพุทธองค์ทรงใช้หญ้ากุสะ 8 กำมือที่โสตถิยะพราหมณ์ นำมาถวายจึงปูลาดนั่งเมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว บัลลังก์ที่ประทับนั่งจึงถูกเรียกว่า รัตนบัลลังก์
ธัมเมกขสถูป สถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมกัณฑ์แรก คือ ”ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร” แสดงเพื่อโปรดปัญจวัคคีย์ เมื่อแสดงธรรมจบลง พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม และขออุปสมบทเป็นภิกษุรูปแรก
สถานที่ประสูติ ของ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เสาหินหลักศิลา เป็นที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างไว้ เพื่อแสดงว่าสถานที่ตรงนี้เป็นที่ประสูติของพระพุทธเจ้า
วัดไทยลุมพินี ที่ เนปาล
บ้านนางสุชาดา นางสุชาดาเป็นผู้ถวายข้าวมธุปายาส แด่พระพุทธเจ้าที่ใต้ต้นไทร
นางสุชาดาได้เคยบนไว้ว่าหากตนเองได้แต่งงานกับชายที่มีชาติเสมอกัน และได้ลูกชายเป็นคนแรก ก็จะมาแก้บน ซึ่งอาหารมื้อนี้เป็นมิ้อก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ จึงถือได้ว่าบุญอย่างสูงที่สุด
ไม่ว่าจะไปที่ใดสิ่งที่เราต้องพบเจอตลอดการเดินทางคือขอทาน ไม่ว่าจะเป็น เด็กเล็กๆ คนแก่ คนตาบอด ก็จะมาเดินขอทานแบบนี้ ประเทศเขาถือว่าไม่ผิดกฎหมาย
แม่น้ำเนรัญชรา สถานที่พระพุทธองค์ลอยถาดทองแล้วทรงอธิษฐานว่า “ถ้าแม้จะได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมโพธิญาณแล้วไซร้ ก็ขอให้ถาดทองนี้ จงลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป” แล้วถาดนั้นก็ลอยทวนกระแสน้ำจริงๆ แม่น้ำเนรัญชรา ในช่วงนี้ น้ำแห้งไปหมดเหลืออยู่แต่สันทรายเท่านั้น เกือบจะไม่เป็นร่องน้ำหรือทางให้น้ำไหลเลย
พระพุทธรูปใหญ่ “ไดบุสึ” ณ วัดญี่ปุ่น ในอาณาเขตวัดนานาชาติ ที่จำลองมาได้งดงามเสมือนองค์จริงที่ประเทศญี่ปุ่น
รอยเกวียน อายุสองพันกว่าปีที่ใช้เป็นเส้นทางในการเดินทางค้าขายตั้งแต่ครั้งพุทธกาล
มหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของโลกที่เคยรุ่งเรือง และยิ่งใหญ่มานานกว่าพันปี และถูกทำลายโดยทหารอิสลาม เพียงไม่กี่ร้อยคน
สารีริกธาตุพระสถูปเจดีย์ ซึ่งตามหลักฐานโบราณคดียืนยันว่าเป็น สถูปที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่ได้ขอแบ่งจากกุสินารา
หลักศิลา สร้างโดยพระเจ้าอโศกมหาราช คนไทยจึงเรียกว่า เสาอโสก เป็นเสาหินทรายขัดมัน มีเจดีย์ตรั้งอยู่เรียงรายรอบเสาหินของพระเจ้าอโศก บนเสาหินมีรูปสิงโต
กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน” ที่ประทับแห่งพุทธองค์ คราวประทับ ณ เมืองเวสาลี และที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่พระพุทธองค์ทรงประทานการบวชให้นางปชาบดีโคตมี และ เหล่าศากิยานี อีก 500 นาง ซึ่งถือเป็นการบวช“ภิกษุณี” ในพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก
“เสาอโศก” ที่ยังคงความสมบุรณ์ที่สุดในประเทศอินเดีย
วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ เป็นวัดไทยในอินเดียที่ใหญ่ และ สวยงามมาก
มีพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐาน ที่ด้านหน้าอุโบสถ
ต้นสาละ 2 ต้นคู่กัน ตรงหน้าสถูปปรินิพพาน
เมืองกุสินารา เป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน สถูปปรินิพพาน มีลักษณะเป็นทรงบาตรคว่ำสูงใหญ่มีฉัตร 3 ชั้น ถัดมาเป็น วิหารปรินิพพาน ภายในมีพระพุทธรูปปางไสยยาสน์ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานขนาดใหญ่
วิหารปรินิพพาน ภายในมีพระพุทธรูปปางปรินิพพานขนาดใหญ่ อายุราว 1,500 ปี คนส่วนใหญ่นิยมถวายผ้าห่มและปิดทองที่ฝ่าพระบาท ไม่ควรปิดทองที่พระพักตร์
ตรงนี้ก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ต้องสวดมนต์เหมือนทุกที่ พอเริ่มบทสวด “องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมูลเกลศมาร บ มิหม่นมิหมองมัว หนึ่งในพระทัยท่าน ก็ เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร …”
พอถึงตรงนี้น้ำตาก็เริ่มไหล ก็พยายามที่จะกลั้นไว้แต่น้ำตาก็ยิ่งไหลออกมาไม่หยุด เมื่อสวดไปแล้วแปลตามไปด้วยเลย เป็นความรู้สึกที่ว่าซาบซึ้งในพระทัยของพระพุทธเจ้าที่ทรงพยายามหาทางให้หมู่สรรพสัตว์พ้นทุกข์ บรรยากาศในนั้นเป็นวิหารเสียงสวดจึงก้องมากๆ คนอื่นก็มีน้ำตาซึมไปตามๆกัน
แอบสังเกตว่าที่ใต้พระแท่นคนที่เศร้าโศกเสียใจคนนี้คือใครกัน? ท่านคือพระอานนท์นั่นเอง
มกุฎพันธนเจดีย์ สถานที่ถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธองค์ ซึ่งปัจจุบันเป็นซากเจดีย์ทรงกลมขนาดใหญ่
ขอปิดท้ายด้วยที่พักใน ประเทศอินเดีย หน้าตาดูดีเลยล่ะค่ะ โรงแรมชื่อว่า “ดิ อิมพีเรียล”
ใครจะเดินทางไปอย่าลืมปลั๊กต่อไปด้วย แต่โรงแรมนี้เพิ่งสร้างใหม่จึงมีปลั๊กให้เลือก 2 แบบ ไม่ต้องใช้ปลั๊กต่อเลยล่ะค่ะ
การเดินทางครั้งนี้ขอบอกว่าประทับใจมาก มานั่งคุยกะคุณแม่และน้อง สรุปตรงกันว่าอยากกลับไปอีก อาจจะด้วยเพราะเพื่อนร่วมการเดินทางครั้งนี้ที่ทำให้เรามีแต่เสียงหัวเราะ ความสุข และอิ่มบุญ เพราะสถานที่ที่เดินทางไปทุกที่จะต้องสวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธิ สวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็นกันบนรถเลยทีเดียว แต่ก็มีความสุขทุกครั้งที่สวดมนต์ ขอให้ชาวพุทธทุกท่านควรไปนมัสการสังเวชนียสถาน 4 แห่ง สักครั้งในชีวิต แล้วจะไม่เสียทีที่เกิดเป็นชาวพุทธจริงๆค่ะ…
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น