ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ MThai และ Bangkok Airways ที่จัดกิจกรรม M Point ให้ร่วมสนุก และทำให้ความฝันในการไปเยือนดินแดนประเทศพม่าเป็นจริง แม้ว่าจริงๆ อยากจะไปมัณฑะเลย์ พุกาม มากกว่า แต่เมื่อโอกาสมาถึงอะไรก็ได้คว้าไว้ก่อน ไม่ผิดหวังจริงๆ ค่ะ เป็นประเทศที่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนา กรุณารับชมโดยเอาอคติทางประวัติศาสตร์ทิ้งไว้นะคะ
4 เม.ย. 56 หลังจากที่เรามาถึงสนามบินมิงกะลาดง หรือสนามบินย่างกุ้ง ก็ได้นัดกับ Agency ที่จองที่พักให้เรา ให้เค้าเอาเอกสารการจองมาส่งให้ที่สนามบินค่ะ จากนั้นก็นั่งแท็กซี่ไปสถานีรถบัสมิงอองกะลา คนขับแท๊กซี่พาเราไปส่งถึงท่ารถที่จะไปเมืองไจ๊ก์โถ่ จุดหมายแรกที่เราจะไปก็คือพระธาตุอินทร์แขวนค่ะ ภาษามอญเรียก ไจก์ทิโย แต่ถ้ากลัวพูดแล้วสื่อสารไม่เข้าใจ ให้บอก Golden Rock เลยค่ะ
รถบัสใช้เวลาเดินทางเกือบ 4 ชั่วโมงช่างทรมาน รถแอร์แต่เปิดหน้าต่าง เปิดแอร์ให้เป็นพัก ๆ เส้นทางที่รถบัสวิ่งจะผ่านเมืองหงสาวดี (บาโก) ข้ามแม่น้ำสะโตง แม่น้ำกว้างมากกว่าที่เห็นในหนังอีกค่ะ แล้วก็มาแวะพักให้กินข้าว แล้วก็เข้าเมืองไจ๊ก์โถ่ และไปจอดสุดสายที่คินปุนแคมป์ (Kinpun Camp)
หลังจากยืน ป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ไม่มีใครสนใจนักท่องเที่ยวต่างด้าวอย่างเรา เราเลยต้องเดินถามหาเอง ปัญหาอย่างนึงที่เจอคือหาคนพูดภาษาอังกฤษไม่เจอ อาศัยการเขียนราคาเอา ถึงรู้ว่าราคาเนี๊ยะต้องไปขึ้นรถตรงไหน ช่วงที่เราไปเค้าจะเข้มงวดเรื่องนักท่องเที่ยวต่างชาติห้ามขึ้นรถคนเดียวกับคนพม่า กว่ารถจะออกได้ก็รอกันพักใหญ่ คันเราเลยมีทั้งฝรั่งผมทองและฝรั่งผมดำ อย่างเราเนี่ยแหละ เรายังได้เจอคนไทยอีกหลายคนที่ขึ้นรถคันเดียวกัน
หลังจากรถขึ้นเขามาได้ประมาณครึ่งชั่วโมง เค้าก็จะจอดให้เรา (นักท่องเที่ยวต่างชาติ) ลงที่จุดนี้ ปลายทางของเราอยู่ข้างบนโน้น ประมาณ 2 กิโลเมตรเอง ก่อนหน้านี้อาจจะมีบ้างที่เค้าปล่อยให้นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถยาวจนไปข้างบนได้เลย แต่ทางคนแบกเสลี่ยงไม่ยอมเค้ารวมตัวกันปิดถนนเพราะทำให้เค้าขาดรายได้ ถ้าเรานั่งรถยาวไปถึงข้างบนเขาได้จะประหยัดเงินค่านั่งเสลี่ยงไปได้เยอะเลย และเร็วกว่าด้วย
ตรงนี้ นักท่องเที่ยวสามารถเลือกได้ว่าจะเดินขึ้นเขาเอง หรือว่าจะนั่งเสลี่ยง ราคาก็แล้วแต่จะต่อรองกันอีก หาข้อมูลมาอีกราคานึง มาถึงราคาขึ้นเป็นอีกราคานึง และก็มีค่าหาบกระเป๋าสัมภาระอีกสิ่งที่เราต้องจ่ายเพิ่มอีกนอกเหนือจากที่ตกลงราคาก็อาจจะมีค่าทิป ค่าน้ำเลี้ยงลูกหาบ
ส่งเพื่อนเราขึ้นไปก่อน ลูกหาบเจองานใหญ่แล้วไหมล่ะ ส่วนเรามั่นใจมากขอเดินขึ้น แค่ 2 กิโลเมตรเอง แถมมีไกด์ของคนอื่น เดินคุยเป็นเพื่อนด้วย
สุดท้ายเดินขึ้นไปได้แค่ 4 โค้งเองค่ะ ไม่ถึงครึ่งทางเลย ไม่ไหวจริง ๆ ความรู้สึกมันจะขาดใจเอาให้ได้ ก็ไม่ได้ออกกำลังกายก่อนไปเลย เคยขึ้นภูกระดึงยังไม่เหนื่อยเท่านี้เลย ขนาดทางดีนะเนี่ย บอกพี่ไกด์ว่าพี่หนู ไม่ไหวแล้ว ช่วงที่เดินขึ้นมาไกด์ก็ใจดีซื้อน้ำเปล่า น้ำอัดลมเลี้ยง (ขนาดไม่ได้เป็นลูกค้าเค้า) กลัวเป็นตัวถ่วงให้ไกด์เสียเวลาไปดูแลลูกทัวร์ของไกด์เค้า
เรามาถึงก็นั่งพัก แวะทักทายทำความรู้จักกับกรุ๊ปทัวร์ชาวไทยกันจนหายเหนื่อยก็เช็คอินเข้าห้องพัก กว่าจะมาถึงพระอาทิตย์ก็กำลังเลิกงานพอดี
พักเอาแรงก่อนค่อยออกไปไหว้พระธาตุอินทร์แขวน ระหว่างทางก็แวะกินข้าว ร้านอาหารริมทางขึ้นพระธาตุค่ะ อาหารที่สั่งคนละอย่างกับเพื่อน แต่เครื่องเคียงนี่มีเพียบเลย
ตรงทางขึ้นพระธาตุจะมีห้องอยู่ 2 ห้อง ทางด้านขวาจะเป็นองค์พระธาตุจำลองและรอยพระพุทธบาท จะมีคนคอยบอกว่าจะต้องไหว้ขอพรและทำบุญตรงไหนบ้าง (พูดไทยชัด) ส่วนห้องฝั่งด้านซ้ายจะมีรูปปั้นพระนางชเวนันจิน เชื่อกันว่าหากร่ายกายเราเจ็บป่วยตรงไหน ก็ให้ไหว้อธิษฐาน แล้วบีบ นวดรูปปั้นของพระนางตามตำแหน่งที่เราเจ็บปวด แล้วมาจับส่วนที่ร่างกายเราเจ็บอาการเจ็บป่วยของเราก็จะหายไป
หลังจากนั้นเราก็เดินออกมาตามลานทางเดินเรื่อย ๆ เริ่มเห็นองค์พระธาตุแล้ว พระธาตุอินทร์แขวนถือเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถานของประเทศพม่า คนพม่าเชื่อกันว่าอย่างน้อยชีวิตนึง ต้องขึ้นมาไหว้พระธาตุอินทร์แขวนให้ครบ 3 ครั้งจึงจะสมปราถนาที่ขอไว้ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเราคงไม่มีโอกาสที่จะได้เดินทางมาไหว้ได้ครบถึง 3 ครั้ง ก็อนุโลมเอาว่าไหว้ครั้งแรกคือเมื่อมาถึง ครั้งที่สองตอนค่ำ และครั้งที่สามตอนเช้า
ขอเล่าประวัติบ้าง พระธาตุอินทร์แขวน หรือ ไจ้ก์ทิโย (Kyaikhtiyo) ในภาษามอญ แปลว่า หินรูปหัวฤๅษี ตั้งอยู่ที่เมืองไจ้ก์โถ่ อำเภอสะเทิม เขตรัฐมอญของประเทศพม่า บนยอดเขา Paung Laung เหนือระดับ น้ำทะเล 3,615 ฟุต ลักษณะเด่นของพระธาตุอินทร์แขวนคือ มีลักษณะเป็นก้อนหินสีทองขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันอย่างหมิ่นเหม่ เหมือนจะหล่นและท้าทายแรงดึงดูดของโลกโดยไม่ตกลงมาอย่างเหลือเชื่อ
การเข้าไปปิดทองจะอนุญาตให้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ผู้หญิงต้องฝากให้ผู้ชายไปปิดทองให้
ตำนานเล่าว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาแสดงธรรมเทศนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ โดยมอบพระเกศาไว้เป็นตัวแทนเพื่อให้พุทธบริษัทสักการะบูชา ผู้ที่ได้รับต่างนำไปประดิษฐานในสถูปเจดีย์ แต่ฤาษีผู้หนึ่งกลับนำไปซ่อนไว้ในมวยผมขอตน หลายร้อยปีต่อมาเมื่อฤาษีต้องละสังขาร ก็ไปพบพระเจ้าติสสะทูลว่าจะมอบพระเกศาให้ โดยมีข้อแม้ว่าต้องหาก้อนหินที่มีรูปร่างคล้ายศรีษะของตนและสร้างเจดีย์บรรจุพระเกศาธาตุไว้บนนั้นด้วย เมื่อพระอินทร์รู้ก็เข้ามาช่วยเหลือ ใช้อิทธิฤทธิ์งมหินขึ้นมาจากมหาสมุทรแล้วนำไปวางหรือแขวนบนหน้าผา จึงเป็นที่มาของชื่อ “พระธาตุอินทร์แขวน”
ในขณะสร้างเจดีย์ พระเจ้าติสสะก็ได้พบกับชเวนันจิน ลูกสาวแสนสวยของหัวหน้ากะเหรี่ยง จึงได้อภิเษกสมรสและพาพระมเหสีกลับวัง ไม่นานนักพระนางก็ป่วยหนัก พี่ชายของพระนางได้มาเตือนซึ่งตามความเชื่อของชาวกะเหรี่ยงจะต้องกลับไปบวงสรวงนัตที่บ้านเกิด ระหว่างที่เดินทางอยู่กลางป่าก็มีเสือโคร่งตรงเข้ามาหาพระนางชเวนันจิน พระนางคิดว่าตนเองต้องตายแน่ จึงมองขึ้นไปที่พระธาตุอินทร์แขวนพร้อมกับตั้งจิตอธิษฐานขอหากตนต้องตายก็ขอให้ได้อยู่ใกล้กับพระธาตุ แล้วเสือโคร่งก็เดินจากไป เมื่อพระนางขึ้นเขาไปจนถึงพระธาตุ พระนางก็สิ้นใจ เมื่อพระเจ้าติสสะทราบเรื่องก็ตามมาถึงพบว่าร่างของพระนางกลายเป็นหินไปแล้ว
พระธาตุอินทร์แขวนเป็นหินแกรนิตสูง 8.15 เมตร หนัก 611.5 ตัน ส่วนเจดีย์ที่อยู่ด้านบนสูงประมาณ 10 เมตร หนัก 19.45 ตัน ที่น่าทึ่งคือ บริเวณก้อนหินที่สัมผัสหน้าผามีพื้นที่เพียง0.714 ตารางเมตร ท้าทายแรงดึงดูดของโลกอย่างเหลือเชื่อ
วันที่เราไปมีคนขึ้นมาเยอะมาก ไม่รู้ว่าเป็นอย่างนี้ทุกวันเลยรึเปล่าหรือเฉพาะวันพระเพราะวันที่เราไปเป็นวันพระด้วย
เราเห็นคนพม่ามาไหว้พระธาตุ สวดมนต์ พอเสร็จแล้วเค้าก็มานอนกันแบบนี้เลย (ก่อนไปเรายังคิดว่าถ้าหาที่พักไม่ได้ เราก็จะมานอนอยู่ลานนี้เหมือนกัน)
ระหว่างกลับที่พัก ประมาณ 3 ทุ่ม หมอกลอยขึ้นมา ตอนแรกนึกว่าเค้าเผาอะไร หรือเป็นควันจากปิ้งอะไรซักอย่าง ไม่คิดว่าหน้าร้อนอย่างนี้จะเจอหมอก ช่วงที่เดินทางตอนกลางวันอากาศร้อนมาก 40 องศา หันกลับไปดูที่พระธาตุอินทร์แขวนหมอกลอยบังพระธาตุ ไฟก็ติด ๆ ดับ ๆ มิน่าที่โรงแรมมีไฟฉายด้วย
ที่พักเราคือ Kyaik Hto Hotel อ่านว่า ไจก์โท่ เป็นโรงแรมของรัฐบาล ซึ่งบนเขานี้จะมี 2 โรงแรมที่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาพักได้ มี Kyaik Hto กับ Mountain View ซึ่งจะอยู่ไกลกว่าไม่มาก ราคาจะสูงกว่า และมองไม่เห็นพระธาตุ การจองที่พักติดต่อโดยตรงยากมาก มีเมล์แต่ไม่มีการตอบกลับ เราจึงต้องจองผ่าน Agency ในย่างกุ้ง ราคาแต่ละ Agencyก็จะแตกต่างกันไปว่าเค้าจะบวกเพิ่มเท่าไร ไม่แนะนำให้ walk in ค่ะ เพราะนอกจากเสี่ยงไม่มีห้องพักแล้ว ราคาอาจจะแพงปกติด้วยค่ะ แต่ก็มีนักท่องเที่ยวที่ walk in แอบไปพัก guest house อื่น ๆ ที่ไม่ใช่ 2 โรงแรมนี้นะคะ ก็เนียน ๆ กันไป
ห้องพักของเรา ราคา 70 USD เงินไทยก็ 2100 บาท เอาห้องที่ถูกสุด จาก Agency ที่ให้ราคาถูกสุด มีอาหารเช้า, Wifi ใช้ได้บริเวณหน้าโรงแรมค่ะ
ตื่นมาตอนเช้า เจอหมอก!! วันที่ 5 เดือนเมษายน เดือนที่ร้อนที่สุด กลับมีหมอกให้เห็น
ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปใส่บาตรและไหว้พระธาตุอีกครั้ง แต่หมดแรงจริง ๆ หากมีโอกาสต้องไปอีกให้ได้ค่ะ ขอไหว้พระธาตุจากตรงนี้แทนแล้วกันค่ะ ขอให้ได้กลับมาอีกครั้ง
มื้อเช้า บุตเฟ่ต์ของโรงแรมค่ะ เกือบไม่ได้กินแระ ทำคูปองหายแต่พนักงานใจดีบอกไม่เป็นไร ให้เราเข้าไปห้องอาหารได้ กลับมาเป็นเดือนเพิ่งเจอคูปองแอบอยู่ในหนังสือหน้าตาอาจจะไม่ดึงดูดแต่เน้นพลังงานค่ะ ต่ออีกจานด้วยขนมปังปิ้ง น้ำส้ม 2 แก้ว
ได้เจอกับพี่ ๆ กรุ๊ปทัวร์ที่คุยกันเมื่อเย็น (ที่จริงตอนเดินกลับโรงแรมเมื่อคืนก็กลับพร้อมกัน) คุยไปคุยมาพี่เค้าเลยชวนให้เราขึ้นรถลงไปกับเค้าด้วยเลย จะได้ไม่เสียเวลานั่งเสลี่ยงไหนต้องไปรอรถคอกหมูเพื่อไปคินปุนแคมป์อีก เพราะตอนนั้นเราก็สายมากแล้ว
เราไม่ทำให้คนไทยเสียชื่อ เดินตามหาคนแบกเสลี่ยงเพื่อจ่ายเงิน ราคาค่าเสลี่ยงรวมไป-กลับ เมื่อเค้าแบกเรามาส่งข้างบนแล้วจะนัดเวลาเพื่อมารับกลับ เมื่อแบกเรามาส่งที่จุดขึ้นรถแล้วค่อยจ่ายเงินครั้งเดียว แต่เราใช้บริการเค้าขาเดียวก็จ่ายเค้ารวมไป-กลับ เพราะเท่ากับเค้าเสียเวลาขึ้นมารอรับเรา เพียงแต่ขากลับเค้าไม่ต้องเหนื่อยก็ถือเป็นค่าเสียเวลารวมทิปไปค่ะ
ได้นั่งริมบ้างแล้ว มีที่จับหน่อย ตอนขึ้นมานั่งตรงกลางรู้จะจับอะไรเกาะแขนเพื่อนบ้าง จับใต้เบาะนั่งแถวข้างหน้าบ้าง
บนเขายังมีหมอกอยู่เลย
มีพระมาบิณฑบาตร เชิญทำบุญร่วมสร้างศาลา ทางเดิน ถนน บันได ทางขึ้น มีเด็กน้อยมาขายขนมด้วย
ความรู้สึกตอนขึ้น กับตอนลงมันช่างต่างกันมากมาย ตอนขึ้นไม่ได้คาดหวังอะไรไว้มากมากนอกจากความสนุกของการเดินทาง ตอนลงเขามา..อยากมีเวลาอยู่ต่ออีกวันนึง ยังมีอะไรที่เราไม่ได้ทำอีกหลายอย่าง เราไม่ได้ใส่บาตร ไม่ได้เห็นฤาษี ไม่ได้ห้อยระฆัง ไม่ได้ปิดทอง ไม่ได้ดูรูปปั้นนัต ไม่ได้เดินดูของที่ตลาด แต่ก็ติดที่ค่าที่พักแพงอีก..
การเดินทางจุดหมายแรกผ่านไปได้ด้วยดี พร้อมกับความอิ่มเอมใจ ที่สำคัญคือน้ำใจคนไทยอยู่ไหนไม่ทิ้งกัน ขอบคุณพี่ ๆ ที่ให้ความเอ็นดูกับเราในวันนั้น กรุ๊ปพี่ 3 คนที่มากับไกด์ทัน ที่อนุญาตให้ไกด์ช่วยเหลือเราต่อราคา ให้ความรู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับพม่า และทำให้เราอึ้งในสำเนียงภาษาอังกฤษที่เป๊ะมาก และกรุ๊ปทัวร์กรีน ลีฟ ที่ให้ความเมตตา ให้เราร่วมเดินทางไปกับทัวร์ของพี่ ๆ ซึ่งตั้งใจมาทัวร์ทำบุญกันจริง ๆ
ติดตามการเดินทางครั้งต่อไปกับเราอีกนะคะ สุขกาย สุขใจ อิ่มบุญ มาก ๆ
ข้อมูลจาก : http://travel.mthai.com/
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น